นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้พบกับนางสาวแอนเจลา แม็กดอนัลด์ เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ณ กระทรวงพาณิชย์ โดยไทยเห็นว่า ออสเตรเลียเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยในภูมิภาคแปซิฟิก และเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดในการขับเคลื่อนและพัฒนายุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ ไทยและออสเตรเลียยังมีความแนบแน่นในด้านเศรษฐกิจ และมี FTA ร่วมกันใน 3 กรอบ ได้แก่ เขตการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) เขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายโอกาสด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่องยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ปี 2040 ของออสเตรเลียที่มุ่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการออสเตรเลียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย โดยเฉพาะในสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ เกษตรและอาหาร โดยหวังว่าจะมีการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีจากออสเตรเลียในนวัตกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในภาคการผลิต การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสีเขียว โดยไทยได้เชิญชวนนักลงทุนออสเตรเลียเข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีสีเขียว รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในเขต EEC ให้มากขึ้น การศึกษาและการพัฒนาทักษะแรงงานต่างๆ ซึ่งไทยและออสเตรเลียสามารถต่อยอดความร่วมมือต่างๆ ผ่านระบบการรับรองการศึกษาทางเลือก และอาชีวศึกษา เศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตสื่อภาพยนตร์ เกมส์ แอนิเมชัน ศิลปะ แฟชั่น และวัฒนธรรม บริการสุขภาพ ที่จะเน้นการส่งเสริมการลงทุนในด้านนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านการแพทย์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และการฝึกอบรมดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น
นายภูมิธรรม เสริมว่า นอกจาก FTA ที่ไทยและออสเตรเลียมีร่วมกันใน 3 กรอบแล้ว ไทยและออสเตรเลียยังได้จัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (SECA) ใน 8 สาขาหลัก ได้แก่ (1) เกษตร ระบบอาหารที่ยั่งยืน และเทคโนโลยี (2) การท่องเที่ยว (3) บริการสุขภาพ (4) การศึกษา (5) การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัล (6) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (7) การส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน และ (8) พลังงาน เศรษฐกิจสีเขียวและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปแผนงานและกิจกรรมที่จะดำเนินการ ซึ่งหากสรุปผลได้ทันน่าจะประกาศความสำเร็จได้ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีของไทยเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 4-6 มีนาคม 2567 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะขับเคลื่อนข้อเสนอ Ten for Thailand ของพันธมิตรหอการค้าต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและลดอุปสรรคในการทำธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันหน่วยงานภายในกระทรวงพาณิชย์ ได้นำระบบให้บริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มาใช้บริการ เช่น ระบบ e-Registration และ e-Filing ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และระบบ Smart-CO ของกรมการค้าต่างประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล
ทั้งนี้ ออสเตรเลียเป็นคู่ค้าอันดับ 8 ของไทย โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยและออสเตรเลีย มีมูลค่า 18,315.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.27 จากปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปออสเตรเลีย มูลค่า 11,187.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากออสเตรเลีย มูลค่า 7,128.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และอัญมณีเครื่องประดับ และสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และสินแร่โลหะอื่นๆ และเศษโลหะและผลิตภัณฑ์
---------------------------------
26 ธันวาคม 2566